วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ความหมายของe-book
ความหมายของ e-Book
“อีบุ๊ค” (e-book, e-Book, eBook, EBook,) เป็นคำภาษาต่างประเทศ ย่อมาจากคำว่า electronic book หมายถึง หนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์ คุณลักษณะของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจุดไปยังส่วนต่างๆ ของหนังสือ เว็บไซต์ต่างๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป
“อีบุ๊ค” (e-book, e-Book, eBook, EBook,) เป็นคำภาษาต่างประเทศ ย่อมาจากคำว่า electronic book หมายถึง หนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์ คุณลักษณะของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจุดไปยังส่วนต่างๆ ของหนังสือ เว็บไซต์ต่างๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป
วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554
การดูแลสุขภาพผิว
9 ระบบสำคัญในร่างกายบ่งบอกได้จากผิวหน้า (Twenty-Four Seven)
ปัจจุบันการดูแลความงามของผิวพรรณไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้หญิง ดังนั้น ผู้ชายก็หันมาให้ความใส่ใจกับการดูแลสุขภาพผิวได้เช่นกัน ปัญหาสภาพผิวหน้าที่เราเห็นจากภายนอก จะสะท้อนถึงสุขภาพของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย เป็นภูมิปัญญาในศาสตร์ของจีนโบราณ โดยตอนนี้มีเครื่องมือใหม่เรียกว่า "เฟส แม็ปปิ้ง" เน้นการวิเคราะห์สุขภาพผิวหน้าควบคู่ไปกับปัญหาของสุขภาพร่างกาย ซึ่งจะแบ่งความสัมพันธ์ของผิวหน้าและระบบต่าง ๆ ทั่วร่างกายออกเป็น 9 โซน
โซนหน้าผาก : สัมพันธ์กับระบบการย่อยอาหารและกระเพาะปัสสาวะ หากผิวบริเวณนี้เกิดสิวอักเสบ หรือผิวหน้าแห้งกร้านบ่อย ๆ ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย หมั่นออกกำลังกาย และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
โซนคิ้ว : สัมพันธ์กับการทำงานของตับ ปัญหาผิวหน้าที่เกิดบริเวณนี้ มักเป็นปัญหาสิวอุดตัน ซึ่งเกิดจากการพักผ่อนน้อย และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือทานอาหารที่มีไขมันสูง
โซนใบหู : สัมพันธ์กับการทำงานของไต ถ้าใบหูแดงหรือร้อน ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ และควรลดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
โซนแก้ม : สัมพันธ์กับระบบทางเดินหายใจและปอด คนที่ชอบสูบบุหรี่หรือมีอาการภูมิแพ้ มักพบว่ามีอาการเส้นเลือดฝอยแตก หรือเกิดการอุดตันของเส้นเลือดฝอย ทำให้ผิวหน้าบริเวณนั้นหมองคล้ำ
โซนดวงตา : สัมพันธ์กับการทำงานของไต ปัญหาผิวที่เกิดบริเวณนี้ มักเป็นเรื่องรอบดวงตาคล้ำ ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือเกิดจากการขาดน้ำของร่างกาย และระบบขับถ่ายของร่างกายทำงานไม่ปกติ
โซนจมูกและริมฝีปาก : สัมพันธ์กับความดันโลหิต ส่วนใหญ่มักเกิดปัญหาสิวอุดตัน สิวบวมแดง บริเวณจมูก และริมฝีปาก ดังนั้น ควรดื่มน้ำและพักผ่อนให้มาก เพื่อปรับสภาพความดันโลหิตของร่างกายให้เป็นปกติ
โซนกรามทั้ง 2 ข้าง : สัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเพศหญิงที่มีรอบเดือน มักจะเกิดปัญหาผิวหน้าบริเวณนี้
โซนคาง : สัมพันธ์กับการทำงานของลำไส้เล็ก มักเกิดอาการแดงของผิวหนัง หรือมีสิวอุดตัน เป็นผลมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบย่อยอาหาร ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ย่อยยากและมีรสจัด
โซนหน้าอกและลำคอ : สัมพันธ์กับระบบทางเดินอาหาร มักเกิดปัญหาอาการแดงและผื่นคัน ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
ปัจจุบันการดูแลความงามของผิวพรรณไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้หญิง ดังนั้น ผู้ชายก็หันมาให้ความใส่ใจกับการดูแลสุขภาพผิวได้เช่นกัน ปัญหาสภาพผิวหน้าที่เราเห็นจากภายนอก จะสะท้อนถึงสุขภาพของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย เป็นภูมิปัญญาในศาสตร์ของจีนโบราณ โดยตอนนี้มีเครื่องมือใหม่เรียกว่า "เฟส แม็ปปิ้ง" เน้นการวิเคราะห์สุขภาพผิวหน้าควบคู่ไปกับปัญหาของสุขภาพร่างกาย ซึ่งจะแบ่งความสัมพันธ์ของผิวหน้าและระบบต่าง ๆ ทั่วร่างกายออกเป็น 9 โซน
โซนหน้าผาก : สัมพันธ์กับระบบการย่อยอาหารและกระเพาะปัสสาวะ หากผิวบริเวณนี้เกิดสิวอักเสบ หรือผิวหน้าแห้งกร้านบ่อย ๆ ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย หมั่นออกกำลังกาย และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
โซนคิ้ว : สัมพันธ์กับการทำงานของตับ ปัญหาผิวหน้าที่เกิดบริเวณนี้ มักเป็นปัญหาสิวอุดตัน ซึ่งเกิดจากการพักผ่อนน้อย และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือทานอาหารที่มีไขมันสูง
โซนใบหู : สัมพันธ์กับการทำงานของไต ถ้าใบหูแดงหรือร้อน ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ และควรลดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
โซนแก้ม : สัมพันธ์กับระบบทางเดินหายใจและปอด คนที่ชอบสูบบุหรี่หรือมีอาการภูมิแพ้ มักพบว่ามีอาการเส้นเลือดฝอยแตก หรือเกิดการอุดตันของเส้นเลือดฝอย ทำให้ผิวหน้าบริเวณนั้นหมองคล้ำ
โซนดวงตา : สัมพันธ์กับการทำงานของไต ปัญหาผิวที่เกิดบริเวณนี้ มักเป็นเรื่องรอบดวงตาคล้ำ ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือเกิดจากการขาดน้ำของร่างกาย และระบบขับถ่ายของร่างกายทำงานไม่ปกติ
โซนจมูกและริมฝีปาก : สัมพันธ์กับความดันโลหิต ส่วนใหญ่มักเกิดปัญหาสิวอุดตัน สิวบวมแดง บริเวณจมูก และริมฝีปาก ดังนั้น ควรดื่มน้ำและพักผ่อนให้มาก เพื่อปรับสภาพความดันโลหิตของร่างกายให้เป็นปกติ
โซนกรามทั้ง 2 ข้าง : สัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเพศหญิงที่มีรอบเดือน มักจะเกิดปัญหาผิวหน้าบริเวณนี้
โซนคาง : สัมพันธ์กับการทำงานของลำไส้เล็ก มักเกิดอาการแดงของผิวหนัง หรือมีสิวอุดตัน เป็นผลมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบย่อยอาหาร ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ย่อยยากและมีรสจัด
โซนหน้าอกและลำคอ : สัมพันธ์กับระบบทางเดินอาหาร มักเกิดปัญหาอาการแดงและผื่นคัน ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ข่าววันนี้
วันวิทยาศาสตร์
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2525 โดย
มติของคณะรัฐมนตรี ให้มีวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็น
"พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" วันวิทยาศาสตร์แห่งชาตินี้เป็นเพราะพระองค์ทรง
คำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม
พ.ศ.2411 ได้อย่างแม่นยำ และต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่ บ้านหว้ากอ
ที่มาของชื่อ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" และได้รับพระบรมราชานุญาติให้จัด
สร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรูปหล่อประทับนั่งบนพระเก้าอี้ฉลอง
พระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดเดียวกับวันที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาบ้านหว้ากอ เพื่อเป็นการระลึกถึง
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2525 โดย มติของคณะรัฐมนตรี ให้มีวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" วันวิทยาศาสตร์แห่งชาตินี้เป็นเพราะพระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ได้อย่างแม่นยำ และต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่ บ้านหว้ากอ ต่อไปมาศึกษาที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ที่มาของชื่อ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" และได้รับพระบรมราชานุญาติให้จัดสร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรูปหล่อประทับนั่งบนพระเก้าอี้ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดเดียวกับวันที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาบ้านหว้ากอ เพื่อเป็นการระลึกถึง วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2525 โดย มติของคณะรัฐมนตรี ให้มีวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" วันวิทยาศาสตร์แห่งชาตินี้เป็นเพราะพระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ได้อย่างแม่นยำ และต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่ บ้านหว้ากอ ต่อไปมาศึกษาที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ที่มาของชื่อ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" และได้รับพระบรมราชานุญาติให้จัดสร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรูปหล่อประทับนั่งบนพระเก้าอี้ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดเดียวกับวันที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาบ้านหว้ากอ เพื่อเป็นการระลึกถึง วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
มติของคณะรัฐมนตรี ให้มีวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็น
"พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" วันวิทยาศาสตร์แห่งชาตินี้เป็นเพราะพระองค์ทรง
คำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม
พ.ศ.2411 ได้อย่างแม่นยำ และต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่ บ้านหว้ากอ
ที่มาของชื่อ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" และได้รับพระบรมราชานุญาติให้จัด
สร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรูปหล่อประทับนั่งบนพระเก้าอี้ฉลอง
พระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดเดียวกับวันที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาบ้านหว้ากอ เพื่อเป็นการระลึกถึง
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2525 โดย มติของคณะรัฐมนตรี ให้มีวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" วันวิทยาศาสตร์แห่งชาตินี้เป็นเพราะพระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ได้อย่างแม่นยำ และต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่ บ้านหว้ากอ ต่อไปมาศึกษาที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ที่มาของชื่อ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" และได้รับพระบรมราชานุญาติให้จัดสร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรูปหล่อประทับนั่งบนพระเก้าอี้ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดเดียวกับวันที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาบ้านหว้ากอ เพื่อเป็นการระลึกถึง วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2525 โดย มติของคณะรัฐมนตรี ให้มีวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" วันวิทยาศาสตร์แห่งชาตินี้เป็นเพราะพระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ได้อย่างแม่นยำ และต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่ บ้านหว้ากอ ต่อไปมาศึกษาที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ที่มาของชื่อ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" และได้รับพระบรมราชานุญาติให้จัดสร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรูปหล่อประทับนั่งบนพระเก้าอี้ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดเดียวกับวันที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาบ้านหว้ากอ เพื่อเป็นการระลึกถึง วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
อาหารเพื่อสุขภาพ
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน
และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญ
พลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน
ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมัน
อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ)
เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอด
วันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จาก
ถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก
ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง
แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนม
หวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้อง
ที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3
เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า
สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว
เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง
เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง
ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็น
ของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุม
อยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง
และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญ
พลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน
ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมัน
อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ)
เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอด
วันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จาก
ถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก
ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง
แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนม
หวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้อง
ที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3
เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า
สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว
เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง
เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง
ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็น
ของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุม
อยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง
วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554
แด่แม่ที่รัก
รักอื่นใดไหนเล่าเท่ารักแม่
บริสุทธิ์เที่ยงแท้แน่หนักหนา
ส่งลูกเรียนจนเติบใหญ่ได้วิชา
เหนื่อยกายาลำบากตนสู้ทนไป
แม้งานหนักเหน็ดเหนื่อยล้นทนดวงจิต
เพื่อชีวิตของลูกน้อยที่สดใส่
ขอเพียงแต่ให้ลูกจงตั้งใจ
หมั่นเพียรไปเรียนหนังสือให้ถูกทาง
อยากให้เรานึกถึงแม่กันสักนึด
แม่ไม่คิดปล่อยเราให้อ้างว้าง
อยากให้รู้ความรักแม่ไม่จืดจาง
ทดแทนคุณแม่บ้างตั้งใจเรียน
บริสุทธิ์เที่ยงแท้แน่หนักหนา
ส่งลูกเรียนจนเติบใหญ่ได้วิชา
เหนื่อยกายาลำบากตนสู้ทนไป
แม้งานหนักเหน็ดเหนื่อยล้นทนดวงจิต
เพื่อชีวิตของลูกน้อยที่สดใส่
ขอเพียงแต่ให้ลูกจงตั้งใจ
หมั่นเพียรไปเรียนหนังสือให้ถูกทาง
อยากให้เรานึกถึงแม่กันสักนึด
แม่ไม่คิดปล่อยเราให้อ้างว้าง
อยากให้รู้ความรักแม่ไม่จืดจาง
ทดแทนคุณแม่บ้างตั้งใจเรียน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)